ก่อนการซื้อไม้กอล์ฟทุกครั้ง คนเรามักจะอยู่ในสถาณการณ์ที่แตกต่างกันอย่างนี้ใช่มั้ยค่ะ^^

         1. มือใหม่ เพิ่งจะหัดเล่น และกำลังจะซื้อ ไม้กอล์ฟครั้งแรก ก็เลยอยากได้ไอ้ที่มันเจ๋งไปเลย และไม่ต้องเปลี่ยนอีกตลอดชีวิต (ความฝันของพวกมือใหม่ น่าขำมาก)
         2. เล่นมาพอสมควรกับชุดที่มีอยู่ แล้วอยากได้ไม้ใหม่โดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ที่รู้แน่ๆคือ ไอ้ชุดเก่าเนี่ยมันชักไม่ได้ความ หมดตูดมาหลายสนามแล้ว เวลาเห็นโฆษณาเขาว่าไม้นู้นไม้นี้ดี ก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข พวกนี้มักมีต่อมความอดทนต่อสิ่งยั่วยุเล็ก
         3. เล่นมานานมากแล้ว เปลี่ยนมาก็หลายชุดแล้ว ต่อมที่ว่าก็แตกไปแล้ว แต่ยังรวยอยู่ และคิดว่า เทคโนโลยีใหม่ต้องทำให้ตีดีกว่าเดิม พวกนี้มักมีโกดังไว้เก็บไม้กอล์ฟ และสามารถลูบคลำไม้กอล์ฟได้นานกว่าการเล้าโลมเป็นสิบเท่า
         4. ซื้อให้คนอื่น

         มี ใครอยู่นอกเหนือที่ว่านี้บ้างครับ จะได้เพิ่มเติมลงไป และจะได้พูดครอบคลุมได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ผมว่าเราลองมาคุยกัน ถึงเรื่องระหว่างไม้กอล์ฟกับนักกอล์ฟกันหน่อยปะไร

         เป็น ความจริงเกือบร้อยเปอร์เซ็นที่ว่า นักกอล์ฟระดับโลกนั้นสามารถใช้ไม้กอล์ฟที่ “ได้มาตราฐาน” แบบใด หรือยี่ห้อใดก็ได้ในการเล่นกอล์ฟ โดยที่ยังสามารถคงระดับการเล่นในระดับสูงไว้ได้ ถึงแม้ว่านักกอล์ฟเหล่านั้นอาจจะต้องการระยะเวลาในการปรับตัวเล็กน้อย ทั้งนี้ก็เพราะว่า ลักษณะวงสวิงที่เราถือกันว่าเป็นมาตราฐานในปัจจุบัน เกิดจากการพัฒนาการของการสวิงมามากกว่า 50 ปี หรือประมาณตั้งแต่ที่มีการยอมรับให้ใช้ก้านไม้กอล์ฟที่เป็นก้านเหล็กแล้ว ซึ่งไม้กอล์ฟก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย และลักษณะของการกระทบลูกก็แทบจะไม่เปลี่ยนเลย

         อย่างไรก็ ตาม ก็ไม่มีนักกอล์ฟระดับโลกคนใหนจะมีวงสวิงที่สมบูรณ์เหมือนกับหุ่นยนต์ (เช่น Iron Byron ในแง่ของการที่ไม่ว่าจะเอาไม้กอล์ฟชนิดใดยัดใส่มือเหล็กของมัน มันก็ตีได้ทันที และผลลัพธ์ที่ได้ก็เกือบจะไม่มีความแตกต่าง) และไม่มีไม้กอล์ฟสองอันที่เหมือนกันในโลกนี้ ดังนั้นนักกอล์ฟคนหนึ่ง วงสวิงวงหนึ่ง (ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเหมือนกัน) ก็จะมีไม้กอล์ฟอันหนึ่ง ที่เหมาะสมที่สุด ดีที่สุดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง คำว่า “เหมาะสม” หรือ “ดีที่สุด” ในที่นี้ ขอจำกัดความไว้เพียงแค่ว่า สามารถตีลูกกอล์ฟได้แม่นลูกที่สุด (โดน sweet spot ที่ไม่ต้องแปลว่า “จุดหวาน” นะครับ ขอร้อง) และผลงานดีที่สุด (คือลูกกอล์ฟไปหยุดอยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ) แต่อาจมีเรื่อง รูปร่างหน้าตาของไม้ ความรู้สึก (balance ของไม้ที่รู้สึกได้ขณะสวิง) และ feedback (แรงที่ส่งผ่านของการกระทบของลูก มายังมือ) ของการกระทบลูก เข้าไปด้วย เพราะบางครั้งสองสิ่งนี้ก็มีส่วนต่อการเลือกไม้อยู่เหมือนกัน

         การ ที่วงสวิงขอแต่ละคนมีความแตกต่างกันนั้นก็เพราะว่า ลายมือเราไม่เหมือนกันครับ ดวงเลยไม่เหมือนกัน ลูกกอล์ฟเลยจำเป็นต้องกระเด็นไปในทิศทางต่างๆแบบกัน เอ้า…จริงๆ ทำเป็นขำ ลายมือคนเราก็คือข้อมูลของระหัสพันธุกรรมชนิดหนึ่ง การที่ระหัสพันธุกรรมต่างกันก็หมายความว่าคนเรามีร่างกายไม่เหมือนกันครับ เมื่อร่างกายไม่เหมือนกัน การสวิงก็ไม่เหมือน เห็นมั๊ยว่าไม่ได้มั่ว การสวิงคือการเคลื่อนไหวที่ใช้กล้ามเนื้อเกือบทั้งร่างกาย และก็เกิดขึ้นภายในเวลาสั้นๆ ดังนั้นการที่จะใช้สมองคิดว่าควรจะทำอะไรตรงใหนพร้อมๆกันเช่น ยืดแขน งอแขน หน้านิ่ง หน้าไว ตีเร็ว ตีช้า มันเป็นไปเกือบไม่ได้ หรือไม่ได้เลย ขบวนการสวิงจึงเป็นการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของร่างกายแบบใดแบบหนึ่งโดย เฉพาะ ยิ่งฝืนยิ่งไม่ดี

         แต่แล้ว ในเมื่อนักกอล์ฟแต่ละคนที่มีลักษณะวงสวิงไม่ซ้ำแบบกันกับใครเลยแล้วเนี่ย ทำไมนักกอล์ฟหลายคนกลับใช้ไม้กอล์ฟที่เหมือนกันได้ ไม่ต้องสงสัยเลยครับ หนึ่งในคนหลายคนนี้แหละที่จะได้เปรียบ เพราะคนที่ใช้ไม้ที่ไม่เหมาะสมกับการสวิงของตัวเองจะต้องมีการปรับตัวให้ เข้ากับไม้ ปรับได้ครับถ้าซ้อมมากๆเข้าไว้ คิดมากๆเข้าไว้ เวลาซ้อมหละก็ตีดีเชียว พอเข้าสนามจริงมีความตื่นเต้นมีความกดดันมากๆ ไม่เหลือสมองไว้คิดถึงการสวิง ก็เน่าสิครับ นี่ก็เพราะว่า “เราไม่สามารถใช้ร่างกายของเราในการสวิงได้เต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์” อันเกิดจากการที่ใช้ไม้กอล์ฟไม่เหมาะสม นี่แหละที่พล่ามมายาวเหยียด แค่อยากจะบอกแค่นี้แหละ ก่อนที่จะพูดเรื่องการเลือกไม้ในลำดับต่อไป ถ้าเห็นว่ายาวไป ก็ไม่ต้องอ่านก็ได้ครับ ข้างบนทั้งหมดนั่นหนะ

         การ ที่จะทำให้ “ไม้กอล์ฟ” กับ “วงสวิง” มีความเข้ากันได้นั้น สามารถเป็นไปได้สองแบบคือ “การปรับวงสวิงให้เข้ากับไม้” และ “การปรับไม้ให้เข้ากับวงสวิง” การปรับไม้ให้เข้ากับวงสวิงสามารถทำได้จากการซ้อมครับ อย่างที่ว่าไว้ ซ้อมมากๆยังไงก็ตีได้ครับ แต่จะให้ดีที่สุดคงยาก การปรับวงนั้นทำได้ด้วยตัวเอง ลูกไปซ้ายแก้ให้ตีไปทางขวาหน่อย ลูกไปขวาก็ตวัดมันกลับมาทางซ้าย ตวัดบ่อยๆมันก็ตรงเอง ตีลูกไม่ขึ้นก็งัดๆมันหน่อย งัดบ่อยๆก็ชินไปเอง แก้ได้หมดแหละครับ ยิ่งมีโปรช่วยแก้อยู่ด้วยสบาย ปะเดี๋ยวก็ตีได้ตรง แต่อย่าเผลอนะ เน่า

         การ ปรับไม้ให้เข้ากับตัวเคยเป็นเรื่องยากมาก ต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของไม้ที่มีผลต่อการตีลูกพอสมควร เสียเวลามาก เสียตังมาก ลองผิดลองถูกอยู่นั่น โชคดีที่มีผู้ที่เคยกระทำเขียนตำราไว้บ้าง ชนรุ่นหลังจึงพอมีสามารถที่จะ ทดสอบและวัดตัวตัดไม้ให้กับนักกอล์ฟที่ต้องการได้บ้าง แต่… ครับ มี “แต่” ตัวใหญ่ๆแรงๆ ว่า คนที่ตัดไม้ให้เราไม่ใช่ตัวเรา แล้วเค้าจะรู้อาการของเราทั้งหมดจริงๆได้อย่างไร หมอรักษาโรคทุกวันนี้ยังต้องเดาเลยครับ ผิดบ้างถูกบ้าง ก็ตายบ้างหายบ้างใครจะรู้ แค่มองดูเราสวิงไม่กี่ที เอาตัวเลขมาคำนวณให้เราดูเวียนหัวเล่น แป๊บเดียว เช็คบิลฉับเลย คุณก็อ้อแอ้จ่ายตังไป แต่ก็พกเอาความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า ชุดนี้หละเข้ากับเราที่สุด ฝันเก่งจริงๆ อย่างไรก็ตาม ของมันก็ฟลุ้คกันได้ครับ คนวัดตัวตัดไม้ที่มีฝีมือหน่อยก็ฟลุ้คบ่อยหน่อย ต้องยอมรับประสบการณ์เค้าครับ

         เอาหละไม่ว่าคุณจะเลือกการปรับแบบใหน ก่อนการซื้อไม้กอล์ฟ ผมมีมีข้อคิดฝากไว้เป็นข้อๆในการเลือกซื้อไม้ดังต่อไปนี้ครับ

         สำหรับ Driver สิ่งที่เรามักจะคำนึงถึงเป็นอันดับแรกก็คือ ความไกล แล้วจึงตามด้วยความแม่นยำ และ การควบคุม เป็นอันดับสุดท้าย

         1. ถ้าคุณต้องการความไกล ก้านกราไฟท์จะให้ระยะทางมากกว่าก้านเหล็กแน่นอน เพราะกราไฟท์น้ำหนักเบากว่าเหล็กมาก เช่น เหล็กจะหนักประมาณ 120 กรัม กราไฟท์ก็จะอยู่ประมาณ 50-90 กรัมครับ ก้านเบาทำให้มีมวลที่เคลื่อนใหวไปอยู่ที่หัวได้มากกว่า ส่งแรงไปยังลูกได้มากกว่า แต่จะต้องเป็นก้านกราไฟท์ที่ดีมีคุณภาพเท่านั้นนะครับ ขอย้ำ ก้านกราไฟท์ห่วยๆไม่ต้องคิดเลยขอร้อง ถ้าไม่มีตังซื้อก้านดีๆ ใช้ก้านเหล็กเบาๆก็ได้ มีโอกาสกว่า ราคาเฉพาะก้านที่ดีอย่างเดียวนั้น มักจะมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 3 เท่า ของก้านเหล็กครับ หรือเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาท และราคาอาจไปได้สูงถึง หมื่นกว่าบาท ก้านอย่างเดียวนะ อย่าให้แนะนำถึงยี่ห้อตรงนี้เลยมันเยอะครับ และแต่ละยี่ห้อก็อาจเหมาะกับคนไม่เหมือนกันอีก
         2. ให้เลือก Driver ที่มีประวัติดีหน่อย หรือมีชื่อเสียงมายาวนาน ถ้าไม่รู้จริง อย่าอาจหาญไปเล่นพวกของก๊อป หรือพวกโนเนม
         3. หาพวกหัวที่มันโตหน่อย ควรจะเริ่มตั้งแต่ 260CC ได้แล้ว และไม่ควรเกิน 400CC ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่มีปมด้อยเรื่องขนาดมากนัก โดยเฉลี่ยแล้วขนาดที่เหมาะสมน่าจะอยู่ประมาณ 320CC บวกลบนิดหน่อยครับ
         4. เลือกรูปร่างที่ดูแล้วชอบสบายตาวางจรดลูกแล้วเล็งได้ง่ายตามแบบของเรา
         5. ถ้าคิดว่าเป็นคนที่แข็งแรงมาก เป็นนักกีฬา เป็นคนอ้วนที่ backswing ได้สั้น ให้หาก้าน S หรือ stiff มาตี นอกเหนือจากนี้ เช่น เป็นคนแข็งแรงปกติ รูปร่างสูงผอม backswing ได้ยาวและกว้าง ก้าน R หรือ Regular ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
         6. ความยาวของก้านน่าจะเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 43 นิ้ว ไปจนถึงไม่เกิน 46 นิ้ว โดยมากสั้นเกินไปมักจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับยาวเกินไปครับ ก้านที่ยาวเกิน 45 นิ้วกับคนที่มีความสูงไม่เกิน 170 cm มักจะทำให้เกิดปัญหาของวงสวิงที่ flat หรือ แบนเกินไป และก้านที่ยาวนั้นทำให้ลดความแม่นยำลงไปมาก โดยที่หลายคนคิดว่าจะได้ระยะทางเพิ่มขึ้นมานั้นอาจจะไม่คุ้ม เอาไว้ผมจะพูดเรื่องของการ ออกแบบ driver ของแต่ละคนกันเลยดีกว่า ในคราวต่อไป
         7. องศาของหน้าไม้มักจะอยู่ระหว่าง 8-11 องศา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแรงของการสวิง ลูกกอล์ฟของทุกคนมีน้ำหนักเท่ากัน ดังนั้นจึงมีความต้องการใน backspin ของลูกพอๆกัน องศามาก backspin ก็มาก ตีแรงมาก backspin ก็มาก ดังนั้นตีแรงก็ประมาณว่าควรจะใช้ องศาต่ำ 11 องศาก็ประมาณว่า ตีไม่เกิน 230 หลา 10 องศาก็ไม่เกิน 250 หลา 9 องศาก็ประมาณ 270 หลาบวกๆ 8 องศาก็ เหยียบๆ 300 ประมาณๆนี้แหละครับ
         8. เรื่องวัสดุและราคาอย่าให้โดนหลอก Titanium มีหลายเกรดมาก บางเกรดราคาถูกกว่าเหล็กดีๆซะอีก หรือบางประเภทเป็นแค่ผสม Titanium เล็กน้อยแล้วก็อ้อมแอ้มว่าเป็น Titanium นอกจากนี้ยังมีวัสดุชนิดอื่นอีกอยู่บ้างที่สามารถนำมาทำหัว Driver ขนาดใหญ่กว่า 260CC ได้ ด้วยคุณสมบัติแข็งแรงและเบา

         สำหรับ ชุดเหล็ก เราต้องคำนึงถึงความแม่นยำเป็นอันดับแรก คือ “ความคงที่ของระยะทาง” กับ “ความแม่นยำในทิศทาง” การควบคุมลูกเป็นอันดับต่อมา โดยมีความไกลเป็นอันดับสุดท้าย

         1. ความแม่นยำและคงที่ของเหล็กได้มาจากก้านที่ดีเป็นอันดับแรก ก้านในชุดเหล็กนั้นควรเป็นก้านที่มี Torque ต่ำ หรือมีการบิดตัวได้ต่ำ เพราะความแม่นยำในทิศทางนั้นมีผลส่วนหนึ่งโดยตรงจากการบิดตัวของก้าน ก้านเหล็กควรเป็นทางเลือกแรก ถ้าท่านไม่ได้เป็นคนที่อ่อนแอกว่ามาตราฐาน ก้านเหล็กไม่ได้ทำให้ระยะของการตีลดลงจนน่าวิตก และก้านเหล็กก็มักจะไม่ค่อยมีปัญหามากในเรื่องความแข็งของก้านในการจับคู่ กับวงสวิง แต่ถ้าเป็นผู้หญิงปกติ คนไทยมาตราฐาน ก้านกราไฟท์ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะลดแรงกระแทกได้มาก ตีสบายและนุ่มนวลกว่าครับ แต่ความมันของการตีก็จะลดลงครับ ใครที่ไม่เคยตีเหล็ก 1 เหล็ก 2 ก้านเหล็ก กับเหล็ก Forged ที่เป็น Blade ก็ไม่ต้องลองก็ได้ครับ จะได้ไม่เสียนิสัย ไม่เคยตัวกับความรู้สึกที่มันหลุดโลก
         2. วัสดุที่ใช้ทำใบเหล็กนั้น ไม่ต้องเป็น Titanium หรือวัสดุอื่นใดที่คุยว่า วิเศษไปกว่า Stainless Steel 341 17-4 17-7 15-5 (เป็นเหล็ก cast หรือเหล็กหล่อ) หรือ carbon steel 1020 1025 1030 1035 (ส่วนมากเป็น Forged) โดยที่เหล็ก Forged มักมีต้นทุนแพงกว่าเหล็ก cast มากประมาณว่าเท่าตัว ข้อดีของเหล็ก Forged ก็คือสามารถนำมาดัด Lie หรือ Loft ได้ง่ายในกรณีที่ถ้าเราต้องการปรับแต่งใดๆให้เข้ากับวงสวิง
         3. ยี่ห้อก็สำคัญในเรื่องของ บริการหลังการขาย ถ้าไม่มีความมั่นใจในร้านซ่อม หรือไม่สามารถซ่อมเองได้
         4. ถ้าคิดว่าเป็นคนตีไม่ค่อยแม่น และวิถีของลูกที่ตีทั้งหมดคือลูกที่ต้องการให้มันวิ่งไปตรงๆ ได้โปรดเถอะ หาเหล็กที่ออกแบบที่เป็น cavity back หรือ perimeter weight พวกเหล็ก blade หลังตัน มีดีอยู่อย่างเดียวคือ “ความมัน” เวลาตีโดน sweet spot ที่มีขนาดเล็กของมัน และอาจมีประโยชน์สำหรับบางคนที่ชอบที่จะบังคับลูกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เล่นกี่วันถึงต้องการลูกเลี้ยวๆซักลูกนึง ใช้สติให้ดีก็แล้วกันครับ
         5. Lie angle เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำคัญจนไม่ค่อยมีใครพูดถึง ผลของการใช้เหล็กที่มี Lie Angle ไม่ถูกต้อง มีผลร้ายแรงมาก สำคัญแค่ใหนไปอ่านใน Editor’s choices ได้ แต่การที่ผู้ขายไม้กอล์ฟส่วนใหญ่มีไม้ที่มี lie angle แบบเดียว การพูดถึงมันมากๆ คงไม่เป็นผลดีต่อยอดขายเป็นแน่ ส่วนมากไม้ที่ขายกันอยู่มักมี Lie Angle ที่ upright เกินไปครับ คือเวลาจรดลูกแล้วปลายไม้กระดกขึ้นจากพื้นนั่นแหละครับ จะดัดก็ไม่ได้เพราะเป็นเหล็ก cast หรือจะตัดให้สั้นลง Swing Weight ก็เปลี่ยนอีก ก็ต้องระวังให้มากครับสำหรับผู้ที่มีความสูงต่ำกว่า 170cm

         ทั้ง Driver และ ชุดเหล็กในปัจจุบันนี้ ราคาของมันสามารถซื้อมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ออกวินได้แล้วนะครับ คิดกันให้ดีๆก่อนที่จะจ่ายเงินเกิน 40,000 บาทสำหรับไม้กอล์ฟซักชุดก็แล้วกันครับ นอกจากว่าคุณมีเงินเหลือใช้ และจุดประสงค์ของการซื้อไม้กอล์ฟคือความมันที่ได้จ่ายตัง